กิตติคุณและความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์
หลวงปู่ได้ชื่อว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีความเข้มขลังองค์หนึ่ง จะเป็นด้วยท่านเป็นผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง มาแต่เดิมก็เป็นได้ มีผู้ใหญ่เล่าไว้ตรงกันหลายท่านว่าสมัยเป็นหนุ่มท่านเป็นคนดุและเป็นคนประเภท นักเลงคนหนึ่ง (ท่านผู้ใหญ่เล่าว่าที่หลวงปูต้องไปบวชถึง จ.พระนครศรีอยุธยาก็ด้วยผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวต้องการให้ท่านห่างไกล จากพรรคพวกเพื่อนฝูงนักเลงที่มีอยู่จํานวนมาก โยมมารดาจึงฝากหลวงพ่อเผือก วัดหัวดง พาหลวงปู่ไปบวชที่วัดศาลาปูน อีกกระแสหนึ่งท่านอาจารย์โพธิ์ วัดโค้งวิไล เล่าว่าครอบครัวหลวงปู่ประกอบอาชีพค้าข้าว ต้องขึ้นล่องปากน้ําโพ - อยู่ตลอด ครอบครัวท่านอาจคุ้นเคยกับเจ้าคุณวัดศาลาปูน กรุงเก่าก็อาจเป็นไปได้) ประกอบกับมีความสนใจใฝ่รู้ เวลาเรียนสรรพวิชาอาคมต่างๆ จึงทําได้จริง และสามารถทําให้เกิดผลประจักษ์แก่มหาชนทั่วไป ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1. หลวงปู่พระวิบูลวชิรธรรมได้รับการนิมนต์ไปนั่งปรกปลุกเสกพระรูปและเหรียญสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ วัดราชบพิธฯ ในปี พ.ศ 2481 เป็นการสร้างวัตถุมงคลครั้งที่ 4 มีหม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล ทรงเป็นประธาน และมี พ.อ.พระยาศรีสุรสงคราม (เปลื้อง ดิสกะโยธิน) เป็นผู้อํานวยการ การจัดสร้างครั้งนั้น ยิ่งใหญ่กว่าทุกๆครั้ง ในจํานวน 5 ครั้ง วัตถุมงคลที่สร้างมีจํานวนมากถึง 84,000 ชิ้น เจ้าคุณศรีฯ ได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ ที่มีชื่อเสียงทั่วประเทศมาปลุกเสกถึง 109 องค์ เช่น หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา เป็นต้น หลวงปู่ก็ได้รับนิมนต์องค์หนึ่ง แสดงถึงว่าท่านมีกิตติคุณชื่อเสียงเลื่องลือไป ในขณะนั้น ท่านมีอายุเพียง 55 ปี พรรษา 25 พรรษาเท่านั้น การปลุกเสกพระในพิธีวัดราชบพิธฯ ครั้งนั้นถ้าพูด อุปมาอุปมัยตามภาษาชาวบ้านก็ว่าถ้าท่านองค์ใดมีสมาธิ จิตที่อ่อนด้อยแล้วก็ไม่สามารถจับสายสิญจน์ปลุกเสกได้เลย
2. หลวงปู่สร้างพระแจกยุคสงครามอินโดจีน อันที่จริง หลวงปู่ได้สร้างวัตถุมงคลมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2470 ขณะนั้นท่านอยู่วัดท่างิ้วพระที่ทําจะเป็นพระเนื้อผงวิเศษที่ท่านได้ทําขึ้นเองผสมกับว่านมงคล 108 ชนิด ต่อมา เมื่อเกิดสงครามอินโดจีนขึ้นประมาณ พ.ศ.2480 พ.ศ 2484 ท่านได้สร้างพระขึ้นแจกจ่ายให้กับประชาชน เอาไว้ป้องกัน อันตรายจากภัยสงครามและโจรผู้ร้ายที่ชุกชุม หลวงปู่ท่านเคยมอบให้ พ.อ. พระยาพหลพลพยุหะเสนา นายกรัฐมนตรี นําไปแจกทหารที่ไปรบในสงครามอินโดจีน เกิดประสบการณ์มากมาย มาในระยะหลังท่านมาครอง วัดท่าพุทราแล้ว เหรียญรูปเหมือนของท่านได้สร้างชื่อ ไว้ในสงครามเวียดนามมาก ตลอดจนการสู้รบกับ ผกค.
เรื่องที่ 2 เมื่อประมาณกลางเดือนเมษายน พ.ศ. 2535 คุณชาญ ขํารอด ( ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 165 หมู่ 11 ต.ทุ่งทราย อ.ทรายทองวัฒนา จ.กําแพงเพชร ) ได้พบเจอเพื่อนเก่ารุ่นน้องที่ชอบพอกันที่ร้านข้าวต้มรวมไทย (ร้านเก่า) ในตัวเมืองกําแพงเพชรกลุ่มใหญ่ หลังจากนั่งดื่มกินอาหารและสนทนาปราศรัยกันแล้วได้ขอชมพระเครื่อง ในคอคุณชาญคือเหรียญปลอดภัยและขอเช่าซื้อ แต่ได้เกิดพูดจาโต้เถียงกันขึ้นพร้อมกับลงไม้ลงมือชกต่อยกัน คู่กรณีได้ชักปืนขึ้นมาขู่ คุณชาญจึงกลับที่พักบริเวณ ร.ร.เทศบาล 2 (วัดทุ่งสวน) ขณะที่กลับถึงที่พักได้มีชายฉกรรจ์ กลุ่มใหญ่ได้ตามมาพร้อมตะโกนเรียกชื่อ เมื่อคุณชาญขานรับชายกลุ่มดังกล่าวจึงชักปืนขึ้นมายิงใส่ แล้วหนีไป รู้สึกตัวว่าถูกยิงเพราะเจ็บบริเวณหน้าอกซ้าย แต่ปรากฏว่ากระสุนปืนหาได้ถูกตัวคุณชาญไม่ กลับไปถูกเหรียญปลอดภัย ที่คล้องคออยู่จนบุบเบี้ยว เป็นที่อัศจรรย์มากเพราะคุณชาญเป็นนักกีฬาที่ชอบเล่นกล้าม กล้ามเนื้อที่หน้าอกเป็นมัดๆ ไม่น่าที่เหรียญที่คล้องคออยู่จะลอยขึ้นมาอยู่ตรงอก คุณชาญกล่าวว่าเป็นเพราะอนิหารของหลวงปู่แท้ๆ จึงได้รอด จากเหตุการณ์อันน่าหวาดเสียวมาได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่โด่งดังมากในเมืองกําแพงเพชรยุคนั้น เพราะคู่กรณีของคุณชาญ ก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงในแวดวงพระเครื่องเมืองกําแพง ที่นําเรื่องนี้มากล่าวขึ้นไม่ใช่เป็นการฟื้นฝอยหาตะเข็บแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการยกตัวอย่างให้เห็นถึงอํานาจอภินิหารของเหรียญปลอดภัย ซึ่งปลุกเสกโดยหลวงปู่พระวิบูลวชิรธรรม
ว่ามีอํานาจสามารถคุ้มครองป้องกันภัยได้จริงแท้
อานุภาพเหรียญปลอดภัย
หลวงปู่พระวิบูลวชิรธรรมมีกิตติคุณเป็นที่เลื่องลือขจรขจายไปไกล ทั้งในด้านการเผยแผ่พระศาสนา การอุปถัมภ์ วัดวาอารามเป็นจํานวนมาก และพระเครื่องวัตถุมงคลของท่านที่ได้ช่วยคุ้มครองป้องกันตนให้พ้นภัย แต่สิ่งที่มหาชน รู้จักและนิยมแสวงหากันเป็นที่กว้างขวาง เรียกว่าถ้าเอ่ยชื่อหลวงปู่วัดท่าพุทราก็ต้องนึกถึงสิ่งนี้ก็คือ
เหรียญที่ระลึกปลอดภัย นั่นเอง เรียกได้ว่าเหรียญนี้เป็นต้นตํารับเหรียญปลอดภัยที่แท้จริง นอกจากจะออกแบบได้สวยงามลงตัวแล้ว พระพุทธคุณ ยังเชื่อถือได้แน่นอนว่าถ้าไม่สิ้นอายุขัยแล้วเป็นอันว่าต้องคุ้มครองผู้บูชาให้ปลอดภัยได้จริงแน่ สําหรับความเป็นมาของการสร้างเหรียญปลอดภัยสืบเนื่องมาจากอุบัติเหตุทางถนนของหลวงปู่ในต้นปี พ.ศ. 2510 กล่าวคือในวันเกิดเหตุหลวงปู่ได้รับนิมนต์จากลูกศิษย์ทาง จ.นครสวรรค์ จึงออกรถจากวัดในตอนเช้ามืดขณะที่ หมอกลงสลัวมืดครึ้ม ขณะที่จะผ่านตรงทางแยกเข้าเขาหน่อ เขตอ.บรรพตพิสัย คนขับรถไม่ทันเห็นรถยนต์ที่จอดอยู่ ข้างทางจึงชนเข้าอย่างจัง ความแรงของการพุ่งชนทําให้ร่างของหลวงปูกระเด็นออกจากรถแต่ไม่เป็นอันตรายใดๆ ส่วนคนขับถูกอัดติดอยู่กับพวงมาลัยนําออกจากรถไม่ได้ ต้องช่วยกันงัดเอาคนขับออกมาจากรถ ซึ่งคนขับก็มีอาการเพียง เคล็ดขัดยอกเท่านั้น ต่อมาหลวงปู่จึงสร้างเหรียญปลอดภัยอันทรงอานุภาพขึ้นเป็นที่ระลึกในอุบัติเหตุในครั้งนี้ เหรียญที่ระลึกปลอดภัยนี้เป็นที่ต้องการของลูกศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือหลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง สร้างมาเท่าใดก็ไม่เพียงพอต้องทํามาเพิ่มเติมไม่รู้ว่ากี่ครั้ง เพราะไม่ว่ารุ่นใดพิมพ์ใดถ้าทันหลวงปู่ได้เสกก็สามารถคุ้มครองชีวิตได้ทั้งสิ้น มีผู้ได้รับประสบการณ์มามากมายเล่าขานได้ไม่รู้จบ ขอยกตัวอย่างสักเรื่องสองเรื่องดังนี้
เป็นอุบัติเหตุอันน่าเศร้าสลดที่เกิดขึ้นกับคนในตระกูลชูชื่น เมื่อปี พ.ศ.2529 เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ กระบะบรรทุกผู้โดยสารมาเต็มคันรถ จํานวนทั้งสิ้น 23 คน ซึ่งเป็นคนในตระกูลชูชื่นและวงศาคณาญาติพากัน กลับมาจากไปเที่ยวน้ําตกที่ จ.พิษณุโลก ชนประสานงาเข้าอย่างแรงกับรถทัวร์ บนถนนสายกําแพงเพชร-พรานกระต่าย บริเวณบ้านคลองห้วยทราย ซึ่งเป็นทางสองเลนรถวิ่งสวนกันไปมา อุบัติเหตุในครั้งนั้นทําให้มีผู้เสียชีวิตถึง 19 ศพ เหลือผู้รอดชีวิตเพียง 4 คน ผู้รอดชีวิต 3 คนบาดเจ็บสาหัสทั้งสิ้น แต่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งที่มีผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว ที่โดยสารมากับรถยนต์กระบะไม่ได้รับอันตรายใดๆ จากอุบัติเหตุในครั้งนั้นเลย เป็นเด็กชายมีอายุเพียง 2 ขวบชื่อ ดช.ณัฐพล ชูชื่น ในคอของเธอคล้องเหรียญปลอดภัยรุ่นสุดท้ายที่ตอกโค้ต วบ เพียงเหรียญเดียว